บริการ ติดตั้งถังเเซท อพาร์ทเม้นท์ โรงงาน โรงพยาบาลราเชนบริการ 086-316-1329
เรามาทำความรู้จักกับถังเเซท กันดีกว่า
ถังเเซทคือ
ถังส้วมที่มีระบบบำบัดน้ำปฏิกูลให้กลายเป็นน้ำดีก่อนระบายลงสู่ท่อระบายน้ำสาธารณะ โดยไม่ต้องให้น้ำซึมลงสู่ใต้ดิน อย่างบ่อเกรอะบ่อซึม จึงช่วยแก้ปัญหาอาคารที่ตั้งอยู่ในบริเวณที่ดินซึมน้ำได้ไม่ดี ไม่ให้ส้วมอุดตันหรือบ่อส้วมทะลักเกิดน้ำเน่าส่งกลิ่นเหม็นอันจะทำลายสภาพแวดล้อม
หลักการทำงานของถังเเซท
ถังแซทส์ ทำงานตามหลักวิศวกรรมสุขาภิบาลเป็นขบวนการบำบัดน้ำโสโครกแบบ ACTIVATED SLUDGE คือ การใช้ออกซิเจนเข้าไปเลี้ยงตะกอนแบคทีเรีย ให้ทำปฏิกิริยาทางชีวเคมีเปลี่ยนน้ำปฏิกูล ให้กลายเป็นน้ำดีดังสมการ COHNS + O2 แบคทีเรีย CO2 + H2O + NO2 = + SO4 = + etc. + พลังงานเอนไซม์ ขบวนการนี้ไม่ทำให้เกิดกลิ่นเหม็น ส่วนกากตะกอนที่ถูกแยกออก จะทำปฏิกิริยาย่อยสลายตัวเองเรื่อยไป จึงไม่ต้องสูบส้วมบ่อย ๆ เช่น ระบบบ่อเกรอะบ่อซึม คุณลักษณะของถังแซทส์ คือ เป็นระบบบำบัดน้ำโสโครกแบบย่อส่วนสำหรับแยกติดตั้งกับที่ (COMPACT ONSITE TREATMENT UNIT) แทนระบบบำบัดน้ำแบบรวม (CENTRAL TREATMENT SYSTEM) ในกรณีที่ระบบการเดินท่อโสโครก (SEWERAGE) มีปัญหา
ถังแซท หรือ ถังบำบัดน้ำเสียจะเป็นถังบำบัดสำเร็จรูป ซึงพัฒนามาจากบ่อซึมที่เป็นบ่อคอนกรีตแบบวง โดยภายในตัวถังแซท จะแบ่งเป็น 2 ส่วน คือ ส่วนเกรอะ และส่วนกรอง โดยมีหัวเชื้อจุลินทรีย์
( จะเป็นผงบรรจุอยู่ในถุง ซึ่งจะแถมมา
ให้กับถังแซทอยู่แล้ว )
ทำหน้าที่ ในการย่อยสลายของเสียต่างๆ
ตัวถังแซทจะผลิตจากเม็ดพลาสติกโพลีเอทธิลีน ซึ่งมีความยืดหยุ่น และทนทานพอสมควร ส่วนใหญ่ภายนอกจะเป็นสีดำ สำหรับภายในตัวถังบำบัดจะแบ่งออกเป็น 2 ชั้นคือ
ชั้นที่ 1 จะเป็นช่องเกรอะทำหน้าที่กรองตะกอนขนาดใหญ่
ชั้นที่ 2 เป็นส่วนของช่องกรองที่ทำหน้าที่คอยกรองตะกอนขนาดเล็กอีกชั้นหนึ่ง ก่อนน้ำเสียที่บำบัดจากในถังจะไหลไปสู่บ่อพักหรือ ท่อน้ำสาธารณะอีกที
Gmail : apiromer@gmail.com Tel : 086-316-1329Line : 0863161329
การเลือกใช้บ่อเกรอะกับถังแซท
ความจริงถังแซทส์เป็นชื่อทางการค้าแต่เป็นเพราะสินค้าตัวนี้ออกตัวมานานจนชินหูว่าหมายถึงอะไร เหมือนพูดว่า “แฟ้บ” ทุกคนก็เข้าใจว่าคือ ผงซักฟอก ทั้งๆที่ “แฟ้บ” คือชื่อของสินค้า 5555+
ปัญหาที่หลายท่านยังตอบไม่ได้ก็คือความแตกต่างระหว่างระบบบำบัดสิ่งปฏิกูลที่เป็นบ่อซ้อนฝังดินที่เรียกว่า บ่อเกรอะ กับถังสำเร็จรูปนั้นเป็นอย่างไร อย่างแรกก็คือ บ่อทั่วไปที่ชินตาชินความรู้สึกเรามานาน คือ เป็นปลอกวงแหวนซีเมนต์ นำมาเรียงซ้อนกันอยู่ในดินชุดละ 2-4 ถัง 2 ชุด มีท่อเชื่อมระหว่างชุดถังทั้งสอง และอย่างที่สอง ที่เป็นถังสำเร็จรูปนั้นก็คือ ถังไฟเบอร์ที่ผลิตขึ้นเพื่อบำบัดสิ่งปฏิกูลจากส้วมเช่นเดียวกับอย่างแรก คำตอบในขั้นต้นที่เราพอจะตอบได้ก็คือ อย่างแรกนั้นเป็นระบบบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่เราก่อสร้างขึ้นในที่นั้น ส่วนอย่างที่สองก็คือ บ่อบำบัดสิ่งปฏิกูลซึ่งเป็นถังสำเร็จรูปซื้อมาใช้แทนการก่อสร้างบ่อเกรอะ-บ่อซึมปัญหาที่ตามมาก็คือว่า ทั้งสองแบบนั้นเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร และเราจะมีข้อกำหนดในการเลือกใช้อย่างไร จริงๆแล้วทั้งสองชนิดมีหน้าที่อย่างเดียวกัน คือ ใช้บำบัดสิ่งปฏิกูลจากส้วม ซึ่งขอสรุปเสียเพื่อมิให้เกิดข้อกังขาว่า หมายถึง อุจจาระ ปัสสาวะ และน้ำจากการชำระล้างนั่นเอง อย่างแรกเรารู้จักกันมานานว่าเป็นระบบบ่อเกรอะ-บ่อซึม อย่างที่สองก็เป็นระบบบ่อเกรอะ-บ่อซึมเช่นเดียวกัน แต่เป็นระบบที่ผลิตขึ้นเป็นถังใบเดียว สาม “ส่วนเกรอะ” และ “ส่วนซึม” อยู่ด้วยกัน ทั้งนี้ก็เป็นวิวัฒนาการที่สร้างขึ้นมาช่วยทดแทนหรือแก้ปัญหาของระบบก่อสร้างบ่อเกรอะ-บ่อซึมที่นับวันจะมีปัญหามากขึ้น ซึ่งต่อไปนี้ระบบบ่อเกอระ-บ่อซึมที่เราสร้างอยู่ในที่นั้น ขอเรียกว่า “บ่อเกรอะ” และถังเกรอะและซึมสำเร็จรูปที่ผลิตขึ้นนั้นขอเรียกว่า “ถังแซทส์” ซึ่งเป็นชื่อการค้า
บ่อเกรอะเป็นบ่อที่สร้างขึ้น มี 2 ส่วน คือชุดถังเกรอะ มีหน้าที่รับสิ่งปฏิกูลจากส้วมให้ถูกย่อยสลายและตกตะกอน จากนั้นน้ำที่อยู่ตอนบนก็จะไหลลงสู่บ่อซึมเพื่อซึมผ่านเนื้อดินไปเป็นการบำบัดของเสียตามธรรมชาติที่เรารู้จักกันมานาน ปัญหาของบ่อเกรอะก็คือ สิ่งปฏิกูลย่อยสลายไม่หมด ทำให้ถังเกรอะเต็มล้น และหรือน้ำในบ่อซึมไม่สามารถซึมผ่านเนื้อดินไปได้ เนื่องจากอยู่ในที่ที่เป็นดินเหนียว หรือเป็นพื้นที่ที่มีระดับน้ำใต้ดินสูง ซึ่งก็จะทำให้บ่อซึมเต็ม ไม่สามารถทำงานตามหลักธรรมชาติของมันได้ด้วยหลักการบำบัดตามธรรมชาติ และปัญหาดังกล่าวทำให้มีผู้คิดระบบถังสำเร็จรูปขึ้นมา โดยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานให้มากขึ้นจนเป็นไปตามกระบวนการ
ธรรมชาติ จนน้ำที่เหนืออยู่นั้นมีความสะอาดพอที่จะปล่อยทิ้งไปได้ แทนการซึมในดินดังระบบเดิมที่มีแต่ปัญหาหลักการย่อยสลายสิ่งปฏิกูลในบ่อเกรอะนั้น อาศัยแบคทีเรียที่มีชีวิตอยู่ได้โดยต้องใช้อากาศและไม่ใช้อากาศในการหายใจ ในการผลิตถังสำเร็จรูปจึงผลิตขึ้นมาเป็น 2 ชนิดตามชนิดของแบคทีเรียนั้น โดยที่แบคทีเรียทั้งสองชนิดนั้นเป็นสิ่งมีชีวิตอยู่ในธรรมชาติ ไม่ต้องไปเพาะเลี้ยงขึ้นมาแต่อย่างใด ถังทั้งสองชนิดมีชื่อทางการค้าที่เราได้ยินกันมานานว่า “ถังแซทส์” ซึ่งเป็นระบบถังที่อาศัยแบคทีเรียชนิดต้องการอากาศเป็นตัวย่อยสลาย และถังไบโอเซฟท์ก็เป็นถังที่ใช้แบคทีเรียชนิดไม่ต้องการอากาศเป็นตัวย่อยสลาย ข้อดีของถังสำเร็จรูปก็ดังที่กล่าวแล้วว่า จะช่วยทำให้ระบบการบำบัดมีประสิทธิภาพ เป็นการแก้ปัญหาบกพร่องของระบบบ่อเกรอะที่ก่อสร้างขึ้นในที่ได้ทั้งถังแซทส์และไบโอเซฟท์นั้นยังมีส่วนเติมคลอรีนให้น้ำที่บำบัดแล้วปราศจากเชื้อโรค สามารถปล่อยทิ้งไปตามท่อระบายน้ำสาธารณะได้
ที่กล่าวมานี้จะเห็นว่า “ถังแซทส์” มีประสิทธิภาพมากกว่า “บ่อเกรอะ” ทำงานได้แน่นอนกว่า แต่บ่อเกรอะก็ยังมีใช้กันอยู่ เพราะมีราคาถูกกว่า ในพื้นที่ที่น้ำซึมได้ ระบบบ่อเกรอะก็ยังใช้กันได้ดีอยู่ ดังนั้นในการเลือกใช้ เราอาจพิจารณาที่ราคาและประสิทธิภาพในการทำงานเป็นเกณฑ์ อาจสรุปได้ว่า ในพื้นที่ที่น้ำซึมผ่านดินได้ดี การใช้ระบบบ่อเกรอะก็จะมี”ภาษี”กว่า เพราะช่างก่อสร้างสามารถทำได้มีราคาถูกกว่า โดยเฉพาะระบบที่ใช้กับบ้านพักอาศัยขนาดกลางและขนาดเล็กทั่วไป แต่ในพื้นที่ที่น้ำซึมไม่ได้ มีระดับน้ำใต้ดินสูง ใช้กับอาคารขนาดใหญ่ ระบบถังแซทส์ก็จะเหมาะสมกว่า และเพื่อความแน่นอนในการทำงานของระบบ การใช้ถังแซทส์ก็จะมีความมั่นใจกว่าระบบบ่อเกรอะ เพราะไม่แน่ว่าระบบบ่อเกรอะนั้นๆ อาจจะมีปัญหาขึ้นมาภายหลังได้ เช่น อาจมีน้ำขังเป็นเวลานาน ถังเกรอะเต็มเร็วเพราะบ่อซึมซึมน้ำได้น้อยหรือในอัตราที่ช้า หาดพูดตามหลักการและในสภาวะสิ่งแวดล้อมปัจจุบัน โดยเฉพาะบ้านในเมืองและบ้านชานเมืองที่ถมที่ด้วยดินเหนียวแล้ว การใช้ถังแซทส์น่าจะเป็นระบบสุขาภิบาลที่ดีและเหมาะสมกว่าระบบบ่อเกรอะที่มีมาแต่โบราณ
ทั้งนี้ก็อาจพิจารณาจากสภาพพื้นที่ก่อนว่าเหมาะกับระบบบ่อเกรอะก่อสร้างในที่หรือไม่ข้างต้นนี้คือรายละเอียดและข้อสรุปหลักสำหรับการเลือกใช้บ่อเกรอะและถังแซทส์ และตารางต่อไปนี้ก็เป็นข้อมูลของระบบทั้งสอง เพื่อช่วยในการตัดสินใจเลือกใช้ได้ดียิ่งขึ้น
อย่างไรก็ตาม ระบบบ่อเกรอะที่ก่อสร้างกันอยู่นั้นก็เป็นระบบที่ใช้กันแพร่หลาย ทั้งในชนบท หมู่บ้าน ถิ่นกันดารต่างๆ เพราะถือว่าเป็นระบบธรรมชาติที่ก่อสร้างได้ ไม่ต้องรอการขนส่งและรอช่างต้องเข้ามาบริการ ซึ่งอาจไม่สะดวกต่อการเดินทาง
หรือ สเเกนบาร์โค๊ด